ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อมูลโรค: สาเหตุ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza/Flu)  (อ่าน 863 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 205
    • ดูรายละเอียด
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์สูงในช่วงฤดูฝน (มิถุนายนถึงตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคมถึงมีนาคม) บางปีอาจพบมีการระบาดใหญ่

พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะผิดพลาดได้


สาเหตุ

เกิดจาก เชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จัดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า orthomyxovirus
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เอ บี และ ซี


ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ มักก่อให้เกิดอาการรุนแรง อาจพบระบาดได้กว้างขวาง และสามารถกลายพันธุ์แตกแขนงเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดบี ก่อความรุนแรงและการระบาดของโรคได้น้อยกว่าเอ สามารถกลายพันธุ์ได้แต่ไม่มากเท่าชนิดเอ ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซี มักก่อให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยและไม่ค่อยพบระบาด
 

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สามารถพบได้ทั้งในคนและสัตว์ (ส่วนอีก 2 ชนิดพบเฉพาะในคนเท่านั้น) แบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ โดยมีชื่อเรียกตามชนิดของโปรตีนที่พบบนผิวของเชื้อไวรัส โปรตีนดังกล่าวมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฮีแม็กกลูตินิน (hemagglutinin เรียกย่อว่า H) ซึ่งมีอยู่ 16 ชนิดย่อย และนิวรามินิเดส (neuraminidase เรียกย่อว่า N) ซึ่งมีอยู่ 9 ชนิดย่อย ในการกำหนดชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ จึงใช้ตัวอักษร H ควบกับ N โดยมีตัวเลขกำกับท้ายตัวอักษรแต่ละตัว ตามชนิดของโปรตีน เช่น

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 (สายพันธุ์เก่า) เป็นต้นเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี พ.ศ. 2461-2462 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 20-40 ล้านคน เนื่องจากมีต้นตอจากสเปน จึงมีชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) และกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากมีต้นตอจากรัสเซียจึงเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย

ในปี พ.ศ. 2552 มีการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 สายพันธุ์ใหม่ (สายพันธุ์ 2009)* ซึ่งมีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เก่า มีต้นตอจากประเทศเม็กซิโก**

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H2N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ.2500-2501 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 1 ล้านคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ.2511-2512 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 7 แสนคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 เป็นต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก หรือไข้หวัดนก

วิธีการแพร่เชื้อ เชื้อไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ แบบเดียวกับไข้หวัด

นอกจากนี้ เชื้อไข้หวัดใหญ่ยังสามารถแพร่กระจายทางอากาศ (airborne transmission) กล่าวคือ เชื้อจะติดอยู่ในฝอยละอองขนาดเล็ก (ขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน) เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อสามารถกระจายออกไประยะไกลและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนอื่นสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องไอหรือจามรดใส่กันตรง ๆ ก็สามารถติดโรคได้ ดังนั้น โรคนี้จึงสามารถระบาดได้รวดเร็ว
ระยะฟักตัว 1-4 วัน (ส่วนน้อยอาจนานเกิน 7 วัน)

* เป็นสายพันธุ์ H1N1 ที่กลายพันธุ์ ประกอบด้วยสารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พบในหมู สัตว์ปีกและคน
** เชื้อสามารถแพร่กระจายตั้งแต่ 1 วัน ก่อนมีอาการ แพร่ได้มากสุดใน 3 วันแรกของการเจ็บป่วย และอาจแพร่ได้ถึงวันที่ 7 ของการเจ็บป่วย


อาการ

มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะที่กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน

แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก

อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-7 วัน (ที่พบบ่อยคือ 3-5 วัน)

อาการไอ และอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลาแล้วก็ตาม

บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการบ้านหมุน เนื่องจากอาการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ปวดหู หูอื้อ หายใจหอบเหนื่อย เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมพอง
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือสแตฟีโลค็อกคัส (เชื้อชนิดหลังนี้ มักจะทำให้เป็นปอดอักเสบร้ายแรงถึงตายได้) บางรายก็อาจจะเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) สมองอักเสบ หลอดเลือดดำอักเสบร่วมกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ปอดอักเสบ) มักจะเกิดในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ขวบ) ผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี) หญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ผู้ที่สูบบุหรี่จัด คนอ้วน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน โรคหืด โรคเรื้อรังทางปอดหรือหัวใจ ไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ)

ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ ยกเว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจตรวจพบอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น แพทย์ทำการฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในผู้ที่เป็นปอดอักเสบ เสียงอึ๊ด (rhonchi) ในผู้ที่เป็นหลอดลมอักเสบ เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัดด้วยการตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในน้ำมูก หรือเสมหะในจมูกหรือคอหอย

ในรายที่จำเป็นต้องทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสารคัดหลั่งที่จมูกหรือในลำคอ ซึ่งเก็บตัวอย่างโดยการใช้ไม้ป้ายจมูก/คอ (nasal/throat swab)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้การดูแลปฏิบัติตัว และรักษาตามอาการเหมือนไข้หวัด คือ นอนพักมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำและน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้มาก ๆ

ให้ยาพาราเซตามอล ลดไข้แก้ปวด (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี จะหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม) (ดูโรคเรย์ซินโดรม)

ถ้าไอให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาวหรือยาแก้ไอ

2. ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้เพราะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส จะให้ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว นานเกิน 24 ชั่วโมง ไซนัสอักเสบ (มีอาการปวดหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม) หูชั้นกลางอักเสบ (มีการปวดหู หูอื้อ) เป็นต้น

3. ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือมีอาการหอบ หรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น ถ้าพบว่าเป็นปอดอักเสบก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ และรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

4. ถ้ามีอาการรุนแรง หรือพบในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด คนอ้วน ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir), ซานิมิเวียร์ (zanimivir)

5. ถ้าสงสัยเป็นโรคอุบัติใหม่ (เช่น โรคโควิด-19 ไข้หวัดนก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ บางกรณีอาจต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ หรือให้ยาต้านไวรัสสำหรับกลุ่มเสี่ยง มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ หรือมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการไข้หรือไข้หวัด แต่มีไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัวมาก ต้องนอนพัก หรือมีคนข้างเคียงเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    นอนพักมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนัก
    ห้ามอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มนม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้มาก ๆ
    ดูแลรักษาและใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ


ควรกลับไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว
    มีอาการปวดไซนัส (บริเวณโหนกแก้ม หรือหัวคิ้ว) หรือปวดหู หูอื้อ
    เจ็บหน้าอกมาก หรือ หายใจหอบเหนื่อย
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดินมาก หรือ ตาเหลืองตัวเหลือง
    มีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว หรือมีเลือดออก หรือ สงสัยเป็นไข้เลือดออก
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

1. ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด

หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิด (เช่น คนในบ้าน โรงเรียน หรือที่ทำงาน) ป่วยเป็นโรคนี้ ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส (เช่น โอเซลทามิเวียร์) แก่ผู้สัมผัสกินป้องกัน

2. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3-4 สายพันธุ์ ที่พบบ่อยในบ้านเราได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (H1N1 และ H3N2) และชนิดบี1-2 สายพันธุ์ มักจะฉีดในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของเชื้อเหล่านี้

โดยทั่วไป ถ้าไม่มีการระบาดก็ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่คนทั่วไป ยกเว้นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี หญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ผู้ที่สูบบุหรี่จัด คนอ้วน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน โรคหืด โรคเรื้อรังทางปอดหรือหัวใจ ไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ) บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่จะเดินทางไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค ผู้ที่มีกิจกรรมจำเป็นที่ไม่อาจจะหยุดงานได้ (เช่น ตำรวจ นักแสดง นักกีฬา นักเดินทาง) ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีที่ต้องกินแอสไพรินเป็นประจำ หญิงตั้งครรภ์ที่คาดว่าอายุครรภ์ย่างเข้าไตรมาสที่ 2 ขึ้นไปในช่วงที่มีการระบาดของโรค กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ควรฉีดวัคซีนป้องกัน

การฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง สามารถป้องกันได้นาน 1 ปี ถ้าจำเป็นควรฉีดปีละครั้งในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน


ข้อแนะนำ

1. สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนมากให้การดูแลรักษาตามอาการ ไข้มักหายได้เองภายใน 3-5 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน ข้อสำคัญต้องนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ และห้ามอาบน้ำเย็น ถ้าไข้ลดลงแล้วควรอาบน้ำอุ่นอีก 3-5 วัน

ผู้ป่วยบางรายหลังจากหายตัวร้อนแล้ว อาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว อยู่เรื่อย ๆ อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง

สำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ที่สำคัญได้แก่ ปอดอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

2. อาการไข้สูงและปวดเมื่อย โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ในระยะเริ่มแรกก็ได้ เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส ตับอักเสบจากไวรัส ไข้เลือดออก หัด มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น จึงควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการอื่น ๆ ปรากฏให้เห็น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาที่เหมาะสม

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่มักมีไข้ไม่เกิน 7 วัน ผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่หากมีไข้เกิน 7 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส มาลาเรีย วัณโรคปอด เป็นต้น (ตรวจอาการไข้ และไข้ร่วมกับน้ำมูกหรือไอ ประกอบ)

4. ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ บางครั้งอาจมีอาการคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้สูง ปวดเมื่อยมาก นอนซม เบื่ออาหาร หากสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

5. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว


ข้อมูลโรค: สาเหตุ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza/Flu) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions

 

Tage: ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google โฆษณาฟรี ประกาศฟรี ขายฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายที่ดินฟรี ลงประกาศขายคอนโดฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว ลงโฆษณาฟรี google