เป็นความจริงและเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ในการทำงานนั้นควรคำนึงถึงความสะดวกสบายและประโยชน์
ในการทำงานไว้ก่อน ดังนั้น เราจึงควรใช้หลักของลักษณะงานแต่ละประเภทมาเป็นตัวกำหนดว่าควรจะมีการสวมใส่เสื้อผ้าลักษณะใด จึงจะเหมาะแก่การทำงานของเรา เพราะเสื้อผ้ากผ้มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เช่นกัน ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นเรามีหลักเกณฑ์ที่ควรคำนึงถึงความสอดคล้องของงานกับภาระหน้าที่ที่เรารับผิดชอบอยู่มาเป็นตัวเลือกในการสวมใส่ชุดทำงานให้ถูกตามลักษณะงานที่เราทำอยู่
1.ชุดทำงานของคนออฟฟิศที่ต้องการความคล่องตัว
ส่วนมากมักจะเป็นชุดฟอร์มของแต่ละบริษัท อาจจะกำหนดว่าผู้หญิงควรสวมกางเกงหรือกระโปรง หรือเป็นอย่างใด
อย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะบางบริษัทต้องการให้พนักงานทุกคนคล่องตัวมีความสะดวกสบายในการทำงาน จึงกำหนดชุดฟอร์มของตัวเองขึ้น เพราะนอกจากจะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพนักงานทั้งบริษัทอีกด้วย ซึ่งถ้าหากบริษัทของคุณจำเป็นต้องใส่ชุดฟอร์มแล้วละก็ คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องชุดทำงานอีกต่อไป เพราะเพียงแต่ทำตามระเบียบขององค์กรก็น่าจะเพียงพอแล้ว
2.ชุดทำงานของคนออฟฟิศที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
มักจะเป็นชุดสากลสำหรับผู้ชาย และชุดสมัยนิยมของผู้หญิง โดยต้องแต่งให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือ
ฐานะทางสังคม เช่น หากคุณเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ คุณก็ต้องจำเป็นที่จะต้องแต่งกายให้ดูดีอยู่เสมอ โดยอาจจะต้องเป็นเสื้อผ้าที่มีราคาแพงขึ้นมาอีกนิด แต่ถ้าหากคุณเป็นพนักงานบริษัททั่วไปก็แต่งกายตามสมควร
3.ชุดทำงานคนออฟฟิศแบบตามสบายไม่เป็นทางการ
ลักษณะงานประเภทนี้มักจะเป็นพนักงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เช่น นักโฆษณา นักครีเอทีฟ บรรณาธิการ
กราฟิกดีไซน์ หรือบางบริษัทที่ให้แต่งกายได้ตามสบาย ตามแฟชั่นได้และไม่ระบุว่าต้องเป็นชุดฟอร์ม หรือชุดสากล เพราะลักษณะงานนั้นไม่ได้พบเจอกับบุคคลภายนอกเท่าไรนัก มักจะทำงานอยู่กับที่ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการมากกว่า ดังนั้น แต่งกายให้สุภาพก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นว่าจะต้องออกไปพบลูกค้า หรือพบผู้บริหารจึงจะแต่งกายให้เหมาะสมตามโอกาส
นอกจากจะเลือกชุทำงานให้เหมาะสมกับลักษณะงาน และทำให้ดูดีแล้ว แต่ก็อย่าลืมนึกถึงวัยของเราด้วยว่าแต่งตัวแบบไหนถึงจะดูเหมาะสมและดูดีสำหรับวัยของตัวเรามากที่สุด ถึงจะต่างวัย ก็เลือกใส่เสื้อผ้าดูดีได้เท่า ๆ กัน
วัย 20 – 30 ปี เป็นน้องใหม่ไฟแรง ที่จัดอยู่ในวัยเริ่มต้นของการทำงาน ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะใช้ของที่มีราคาแพงนัก เพราะของที่มีราคาแพงกับคนอายุน้อยดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีรสนิยมชอบของแพง ดูดีมีระดับก็ตาม เนื่องจากสถานภาพทางการเงินยังไม่อำนวย และการใช้ของแพง หรือแต่งตัวตามแฟชั่นมากเกินไป ก็อาจทำให้เจ้านาย หรือผู้บริหารคิดได้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะมาทำงานเท่าที่ควร ดังนั้นมือใหม่ทั้งหญิงและชาย ด้วยวัยเท่านี้ก็ควรเลือกใช้ของที่มีราคาปานกลางแต่ได้คุณภาพและทนทานต่อการใช้งานมากกว่า เพราะเพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ชะงัดนักแล้ว
วัย 30 – 40 ปี เริ่มเปลี่ยนสภาพจากมือใหม่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่มากขึ้น และวัยที่เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ต้องพัฒนามาเป็นสูทสีเทา สีน้ำตาล หรือสีดำ ที่ถูกแบบแผนสำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็ต้องแต่งกายให้ดูผู้ใหญ่มากขึ้น คือไม่ใช้เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสเหมือนเมื่อก่อน และจะต้องทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง ซื่อตรง น่าเกรงขาม และน่าเชื่อถือขึ้นด้วย
วัย 40 – 50 ปี เป็นวัยที่มีความรับผิดชอบสูง และต้องควบคุมบริหารงานมากขึ้น มีการพบปะสมาคมกับบุคคลทั่วไปทั้งในและนอกบริษัทมากมาย มีหน้าที่การงานก้าวหน้า เป็นผู้จัดการ ผู้บริหาร ฉะนั้นชุดสูทที่เคยใส่มานานจนไม่ค่อยหน้าดูแล้วก็ควรจัดหาใหม่ การเลือกแบบที่ต้องเน้นให้เหมาะสมกับฐานะและบุคลิกภาพของตนเอง คือ เมื่อสวมใส่แล้วสามารถสร้างความรู้สึกที่น่าเชื่อถือไว้วางใจ ทั้งแก่ผู้บริหาร และบรรดาลูกน้องของคุณด้วย
วัย 50 – 60 ปี ขึ้นไป ในวัยนี้ ไม่ว่าจะยังทำงานอยู่ที่บริษัทหรือไม่ก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นวัยที่ประสบความสำเร็จกันแล้ว มีทั้งฐานะและอำนาจ จนสามารถเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ได้ตามใจชอบ เพียงแต่ระวังไว้แค่ว่า อย่าแต่งจนเกินงามไปเท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่าคุณจะทำงานประเภทใด และวัยไหนก็ตาม หลักสำคัญอยู่ที่คุณต้องแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ และเหมาะสมตามสภาพแวดล้อม หรือตามกฎเกณฑ์ของแต่ละบริษัท การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมจะทำให้คุณดูสะดุดตาและน่าเชื่อถือได้
นอกจากจะแต่งกายให้ดูดีแล้ว เราต้องมีบุคลิกภาพที่ดีด้วย เพราะบางคนอาจคิดว่าในวงการธุรกิจหรือที่ทำงานนั้น บุคลิกภาพและการแต่งกายไม่ใช่สิ่งสำคัญ ขอเพียงแต่ทำงานให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะประสบความสำเร็จได้แล้ว มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนักหรอก และความคิดที่ว่านี้ก็นับว่าเป็นความคิดที่ควรปรับเปลี่ยนเสียใหม่
เพราะในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าการแต่งกายและบุคลิกภาพจะไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่การงาน แต่สิ่งสำคัญเหล่านี้กลับเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่งของการทำธุรกิจ เพราะการที่เรารู้จักพลิกแพลง หรือจัดการธุรกิจให้ดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นนั้นจะละเลยเรื่องต่อไปนี้ไม่ได้ คือ
1.การที่คุณแต่งกายดี จะเป็นการแสดงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความจริงใจ การเคารพยกย่อง และการให้เกียรติ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก และเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรละเลยอันดับหนึ่ง
2.ควรมีบุคลิกภาพที่โดนใจ เพราะจะทำให้คุณเข้าถึงจุดที่สามารถโน้มน้าวให้ฝ่าย ตรงข้ามหันมาพิจารณาคุณได้มากขึ้น และง่ายขึ้น
3.ปรับปรุงพฤติกรรมและแก้ไขจุดบกพร่องของบุคลิกภาพตนเองซะ ถ้าหากมันจะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึง การแต่งกายและกิริยามารยาททางสังคมของคุณนั่นล่ะ จำไว้ว่า อะไรที่ไม่ดีก็สามารถแก้ไขได้เสมอ
และหากคุณเริ่มพัฒนาตนเองด้วยการเสริมบุคลิกภาพด้วยการแต่งกายดี ๆ เสียตั้งแต่วันนี้ รับรองว่าคุณจะประสบ ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้แน่ แม้จะเป็นแค่ในระดับเริ่มต้นก็ตาม อย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่คุณต้องทำล่ะน่า
วิธีการเลือกชุดออฟฟิต ชุดทำงานอย่างไรให้ได้ทั้ง "ดูดี" และ "เหมาะสม" อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://uniformdeluxe.com/